วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

Language is a plus (or a must)

เมื่อเดือนที่แล้ว ผมได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศเบลเยียม โดยบินผ่านเมืองแฟรงค์เฟิร์ท ประเทศเยอรมนี ทำให้ผมได้เห็นความแตกต่างของ 2 ประเทศนี้อย่างชัดเจน

ประเทศเบลเยียมมีภาษาราชการ 3 ภาษาคือฝรั่งเศส, เฟลมมิช (ดัตช์) และเยอรมัน ส่วนเยอรมนีมีภาษาเดียวคือภาษาเยอรมัน

ในระยะเวลา 4 วันในเบลเยียม ผมไม่เจอใครที่พูดอังกฤษไม่ได้ แต่ 1 วันในแฟรงค์เฟิร์ทผมได้เจอคนพูดอังกฤษไม่ได้มากกว่า 3 คน ทั้ง 3 คนเป็นคนเยอรมัน และเป็นคนขายของในตลาดนัดริมแม่น้ำ (ซึ่งควรจะเป็นอาชีพที่พูดอังกฤษได้มากที่สุด เพื่อเอาไว้พูดกับลูกค้าต่างชาติ) ส่วนคนเอเชียที่อาศัยในแฟรงค์เฟิร์ท พูดอังกฤษได้ดี

เนื่องที่เบลเยียมมีภาษาราชการถึง 3 ภาษา ซึ่งต้องเรียนในโรงเรียน การจะเรียนภาษาที่ 4 จึงเป็นเรื่องง่าย และภาษาที่ 4 ที่คนเบลเยียมนิยมจึงเป็นภาษาอังกฤษเพราะจะช่วยในการติดต่อสื่อสารได้อีกหลายประเทศ

พวกผมดำอย่างเราเจอฝรั่งพูดอังกฤษได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าใครได้ไปเยือนเยอรมันแล้วจะทราบว่าไม่ใช่ผมทองทุกคนหรอกที่จะพูดอังกฤษได้ เหตุการณ์ในเยอรมันทำให้ผมนึกย้อนกลับไปชื่นชมฝรั่งเบลเยียมที่เขาตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษแม้จะไม่ใช่ภาษาราชการของเขา และนี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ดีพอที่คนยุโรปจะเลือกเบลเยียมเป็นสำนักงานใหญ่ของ EU

นอกจากเรื่องภาษาแล้ว เบลเยียมยังเป็นศูนย์กลางการขนส่งของยุโรป เพราะมีเมืองท่าสำคัญคือ Antwerp ด้านตะวันตกออกสู่ทะเล, ด้านเหนือเชื่อมไปถึง Rotterdam ในเนเธอร์แลนด์ เมืองท่าสำคัญอีกเมืองหนึ่งของยุโรป ด้านตะวันออกเชื่อมกับเยอรมันและโปแลนด์ ส่วนทิศใต้เชื่อมต่อกับฝรั่งเศสและสเปน เมื่อมองดูรถบรรทุกบนไฮเวย์ จึงพบรถบรรทุกสารพัดสัญชาติบนถนนของประเทศนี้

ในสายตาของผม เบลเยียมมีลักษณะเหมือนสิงคโปร์ คือเป็นประเทศขนาดเล็ก (แต่พื้นที่สิงคโปร์เล็กกว่าเบลเยียมประมาณ 40 เท่า แต่เบลเยียมยังเล็กกว่าไทยถึง 17 เท่า) ประชากรไม่มาก (สิงคโปร์เกือบ 5 ล้าน, เบลเยียมประมาณ 10 ล้าน) ไม่มีภาษาของตัวเอง, มีภาษาราชการหลายภาษา และมีเมืองท่าสำคัญ คนเบลเยียมกับคนสิงคโปร์จึงมีนิสัยที่เป็นมิตรเหมือนกัน ใครได้คุยกับคน 2 ประเทศนี้ จะรู้สึกสะดวกสบายใจกับความเป็นมิตรของเขา เราสามารถคุยปนกันหลาย ๆ ภาษาได้ และเขาพร้อมที่จะตอบเราได้หลายภาษาด้วย

อีกอย่างหนึ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติของคนที่สื่อสารได้หลายภาษา คือเขาจะเป็นนักฟังที่ดี และเป็นคนที่เข้าใจจิตใจคนอื่นได้เป็นอย่างดี เพราะต่างภาษากันจะมีวิธีการถ่ายทอดโลกทัศน์ออกมาเป็นคำพูดที่แตกต่างมุมมองกัน (ตามหลักวิชา psycholinguistics) เหมือนว่าเขาได้อีก 1 ภาษาเพิ่มขึ้นมาคือภาษาใจ เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของคน 2 ประเทศนี้

สำหรับคนทำงานในเบลเยียม การพูดได้ 4 ภาษาเป็นเรื่องปกติ หรืออาจจะเรียกว่าเป็นภาคบังคับ (must) ก็ได้ ถ้าใครพูดได้เกิน 4 ภาษาจึงจะเรียกว่า เป็นแต้มบวก (plus)

ในช่วงที่เดินทางระหว่างบรัสเซล (brussels) กับบรูจ (bruges) ผมได้คุยกับคนขับรถแท็กซีชื่อ โทนี ถามเขาว่าเขาพูดได้กี่ภาษา เขาบอกว่าพูดได้ 5 ภาษา ก็คือ 4 ภาษาบังคับ บวกกับอีกหนึ่งภาษาญี่ปุ่น ผมก็เลยซักต่อไป เขาบอกว่าเขาดูหนังเรื่อง "โชกุน" และชอบมาก จึงอยากจะเข้าใจให้ลึกซึ้งมากขึ้น เขาจึงเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น ซึ่งต่อมากลายเป็นแต้มบวกสำหรับงานของเขา คือเมื่อมีลูกค้า VIP จากญี่ปุ่นติดต่อมาเช่ารถจากบริษัทของเขา เขาก็จะเป็นคนขับรถให้ญี่ปุ่นเสมอ งานจึงมีไม่เคยขาด

ผู้บริหารอีกท่านหนึ่งที่ผมได้รู้จัก พูดได้ถึง 7 ภาษา คือ 4 ภาษาบังคับ บวกกับ สเปน โปรตุเกส อิตาลี เพราะท่านต้องทำงานติดต่อกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป

อีก 1 ราย ผมไม่ได้เจอ แต่โทนีเล่าให้ผมฟังว่าชายคนนั้นอายุ 41 ปี พูดได้ 42 ภาษา! และเหตุผลในการเรียนภาษาของเขาคือเพื่อฝึกสมอง ไม่ใช่เพื่อติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่ไหน

ในขณะที่ประเทศไทยเพิ่งมาตื่นตัวเรื่อง bilingual school และเพิ่งเริ่มพูดกันว่าเด็กไทยน่าจะพูดภาษาที่ 3 แต่ที่เบลเยียม ถ้าคุณจะสมัครงาน คุณต้องโฆษณาตัวเองว่าพูดได้กี่ภาษา และอย่าหลงภาคภูมิถ้าคุณพูดได้แค่ 5 ภาษา เพราะยังมีคู่แข่งอีกเยอะ

โชคดีที่โทนีไม่ถามย้อนกลับว่าแล้วผมล่ะพูดได้กี่ภาษา ผมคงอายที่จะตอบว่าที่สื่อสารกันเข้าใจดีมีแค่ 3 ภาษาคือไทย, อังกฤษ และลาว

ส่วนภาษาจีนแต้จิ๋วพอสื่อสารได้ แต่ก็ใช้ได้เฉพาะในไทย เพราะคนจีนในจีนที่มี 1.3 พันล้านคน พูดแต้จิ๋วได้แค่ 3 ล้านคน ใน 4 อำเภอของจังหวัดเฉาโจว (chaozhou) เจอคนจีน 400 คน จะพูดแต้จิ๋วได้แค่คนเดียว

ภาษาจีนกลาง ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส ผมก็ได้แค่งู ๆ ปลา ๆ ใช้ทำมาหากินไม่ได้

อย่าไปนับภาษาดัตช์, เยอรมัน และเกาหลีที่ได้แค่ Yes, no, O.K., thank you. (ต่ำกว่าระดับ งู ๆ ปลา ๆ)

กลับจากยุโรปคราวนี้ผมรู้สึกประทับใจความเป็นชาวเบลเยียม และทำให้ผมรู้สึกเลยว่าต้องเรียนภาษาอีกมาก แค่ 3 ภาษายังน้อยเกินไป

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ประสบการณ์ลอดรูเข็ม

มีสุภาษิตเซ็นบทหนึ่งกล่าวว่า

ก่อนที่ท่านจะศึกษาเซน ภูเขาเป็นภูเขา และแม่น้ำก็คือแม่น้ำ
ในขณะที่ท่านศึกษาเซน และแม่น้ำมิใช่แม่น้ำ
หลังศึกษาเซน ภูเขากลับเป็นภูเขา และแม่น้ำก็เป็นแม่น้ำ

สุภาษิตบทนี้บอกผมว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้ศึกษาเซ็น กับบัณฑิตที่ศึกษาเซ็นแล้ว ก็เห็นภูเขาเป็นภูเขา เห็นแม่น้ำเป็นแม่น้ำ เหมือนกัน แต่ความลุ่มลึกไม่เท่ากัน เพราะบัณฑิตเซ็นจะรู้จักส่วนของภูเขาที่ไม่ใช่ภูเขา และส่วนของแม่น้ำที่ไม่ใช่แม่น้ำ ในขณะที่คนทั่วไปก็มองเห็นแต่ภาพโดยรวม

ผมเรียกประสบการณ์แบบนี้ว่าประสบการณ์ลอดรูเข็ม เพราะผมนึกถึงเวลาจะร้อยด้ายผ่านรูเข็ม เราจะต้องทำปลายด้ายนั้นให้เล็กที่สุด จึงจะสามารถลอดรูเข็มได้ อากาศทั้งสองฝั่งของรูเข็มก็เป็นอากาศเดียวกัน การลอดรูเข็มจึงเหมือนกับว่าไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไร แต่ถ้าเราเป็นด้ายเส้นนั้น การลอดรูเข็มเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเรามาก เพราะด้ายที่ไม่ได้ลอดรูเข็มก็ไม่มีโอกาสจะได้ไปเย็บผ้าให้กลายเป็นเสื้อได้ ถ้าเราอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของอาภรณ์ที่งดงาม เรามีทางเลือกเพียงทางเดียวคือต้องลอดรูเข็มให้ได้

การฝึกกรรมฐานก็เป็นการลอดรูเข็มอีกวิธีหนึ่ง เพราะทำให้เราเห็นส่วนประกอบของจิต เราจะรู้จักส่วนย่อย ๆ ของจิตอย่างถ่องแท้ จากนั้น เราก็ถอยห่างออกมา มองเห็นจิตส่วนย่อยเหล่านั้น ค่อย ๆ ประกอบกันเข้าเป็นจิตใหญ่ ในท้ายสุดเราก็เห็นจิตใหญ่เป็นจิตเดียวเหมือนเมื่อก่อนจะฝึกกรรมฐาน แต่ระดับพัฒนาการของจิตเรานั้นไม่ได้อยู่ที่เดิม เพราะในขณะที่เราเห็นจิตใหญ่หนึ่งเดียวนั้น เราก็ได้เห็นจิตย่อยในจิตใหญ่นั้นด้วย

คอมพิวเตอร์ที่พวกเรากำลังมองอยู่นี้เป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์ เวลาเครื่องเสียเราก็แยกมันออกเป็นชิ้น ๆ เป็นเมนบอร์ด เป็นพาวเวอร์ซัพพลาย เป็นฮาร์ดดิสก์ ฯลฯ เราก็พินิจมองมันทีละชิ้นว่าชิ้นใดทำงานอย่างไร ชิ้นไหนเสียต้องเปลี่ยน จนเราเข้าใจกลไกการทำงานของมัน เวลานั้น คอมพิวเตอร์ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ มันเป็นแค่ส่วนประกอบย่อย ๆ เราซ่อมแล้วเราก็ประกอบมันกลับคืน มันก็กลับกลายเป็นคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม เราเห็นมันเป็นคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม เหมือนที่เห็นภูเขาเป็นภูเขา เห็นแม่น้ำเป็นแม่น้ำ แต่เราได้รู้ได้เห็นอะไรที่มากกว่านั้นด้วย อย่างนี้ที่ผมเรียกว่าประสบการณ์ลอดรูเข็ม

คนที่เรียนโทเรียนเอก ก็คงจะมีประสบการณ์เหมือนกับผม คือยิ่งเรียนสูง ก็ยิ่งเรียนแคบลง ๆ เหมือนกับการเดินในอุโมงค์ที่ไม่รู้ความยาว รู้แต่ว่าอุโมงค์มันแคบลง ๆ เรื่อย ๆ และเราก็ต้องเดินไปเรื่อย ๆ หยุดไม่ได้ จนกระทั่งไปทะลุออกที่ปากอุโมงค์อีกฝั่งหนึ่ง จึงได้พบกับแสงสว่าง กว่าวิทยานิพนธ์ของเราจะได้ข้อสรุปแบบสั้น ๆ แค่ 1-2 ประโยค เราต้องทำการทดลองเพื่อยืนยันสมมติฐานนั้นหลายครั้ง ในการทดลองแต่ละครั้งเราใช้เวลาทดลองสั้น ๆ แต่ใช้เวลาเตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือทดลองมาหลายวัน และก่อนหน้านั้นต้องเรียนวิชาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาอีกหลายเดือน จากวิชากว้าง ๆ แล้วก็เจาะแคบลง ๆ จนเล็กเป็นจุด จากจุดเล็ก ๆ ตรงนั้น มันก็พุ่งตรงทะลุเป้าหมายที่เราวางเอาไว้ และนำมาซึ่งข้อสรุปของการทดลอง

ตอนที่ดีที่สุดของประสบการณ์ลอดรูเข็มคือตอนที่เราสามารถอธิบายการทดลองของเราให้คนทั่วไปเข้าใจได้ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีความรู้ในสาขาของเราเลย มันเป็นวินาทีที่เอนดอร์ฟินหลั่งออกมาราดรดสมองให้เปียกชุ่ม แบบที่มาสโลว์เรียกว่า Self-actualization แบบนั้นเลย

คนสองคนเรียนจบมาต่างสาขากัน สามารถแชร์ประสบการณ์ลอดรูเข็มกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะมันเป็นปรากฏการณ์ที่เหมือน ๆ กันสำหรับทุกคน เป็นประสบการณ์ที่ภูเขากลับมาเป็นภูเขา แม่น้ำก็กลับมาเป็นแม่น้ำเหมือนเดิม ส่วนด้ายก็ทะลุผ่านรูเข็มออกมาสู่อากาศห้วงเดิม ดังนั้นผมจึงไม่แปลกใจที่ดอกเตอร์หลายคนเขามีกระบวนการคิดที่คล้าย ๆ กัน

เมื่อผมมีโอกาส ผมจะแนะนำคนที่จะเรียนต่อโทหรือเอกว่าคุณต้องทำตัวเหมือนด้ายที่กำลังพยายามลอดรูเข็ม คือคุณต้องทำตัวให้เล็กและแกร่งพอที่จะลอดรูเล็ก ๆ ขนาดรูเข็มให้ได้ จะทำตัวว่าข้าใหญ่ก็ลอดรูเข็มไม่ได้ จะอ่อนปวกเปียกก็ลอดรูเข็มไม่ได้ ด้ายที่ลอดรูเข็มไม่ได้ก็ไม่มีสิทธิ์ไปอยู่บนอาภรณ์ที่งดงามได้

ด้ายที่เคยลอดรูเข็มสำเร็จมาครั้งหนึ่งแล้ว มักจะลอดได้อีกหลาย ๆ ครั้ง และครั้งต่อ ๆ ไปก็จะง่ายขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเรามีประสบการณ์แล้ว

ข้อควรระวังคือการลอดรูเข็มสำเร็จครั้งแรก ๆ มันมักจะปลาบปลื้มจนไม่ได้งานเป็นชิ้นเป็นอันไปหลายวัน ถ้าเตือนตัวเองได้ก็ควรหยุดปลาบปลื้มแล้วกลับมาทำงานต่อไป จะได้ลอดรูเข็มอีกหลาย ๆ ครั้งอย่างไม่มีวันสิ้นสุด... นะครับท่านผู้อ่าน