วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เอเชียที่ผมเพิ่งรู้จัก

นับย้อนหลังไป 12 เดือน ผมได้ไปเยือนต่างประเทศมาถึง 4 ประเทศ

เป็นปีที่ผมเดินทางต่างประเทศมากที่สุดตั้งแต่เกิดมา (32 ปีที่แล้ว)

ประเทศแรกคือจีน ไปเยือนนครเซียงไฮ้ (ซึ่งต้องอ่านออกเสียงว่าซั่งไห่) คนที่นั่นกระตือรือร้นมาก เหมือนที่เราเคยเห็นในหนังว่าคนญี่ปุ่นเดินด้วยความเร่งรีบตอนเช้าตอนที่จะไปทำงาน ไม่มองซ้ายมองขวา แบบนั้นเลย อาคารสูง ๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ถ้าเทียบกับไทยก็ต้องสีลม ประมาณนั้น แต่เขาต่างจากเราตรงที่อาคารเก่า ๆ ถูกรื้อถอนเกือบหมด เพราะเป็นนโยบายของรัฐในการสร้างเมืองให้ทันสมัย

ผมเพิ่งได้เห็นกับตาว่าจีนกำลังพัฒนาอย่างรีบเร่ง..... แต่มั่นคง

ประเทศต่อมาคือฟิลิปปินส์ ผมกลับมาแล้วบอกกับใครต่อใครว่าฟิลิปปินส์คือประเทศคู่แฝดของไทย ทุกอย่างเหมือนไทย แต่เขาไม่พูดไทย การกินอยู่เหมือนบ้านเรา แต่ไม่กินเผ็ด เขามีผลไม้หลายอย่างเหมือนบ้านเรา

ผมเลยได้เห็นกับตาว่าที่เขาว่าคนฟิลิปปินส์เหมือนคนไทยมากที่สุด มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

ผมได้ไปศรีลังกาเป็นลำดับที่ 3 และพบว่าการเป็นคนพุทธเหมือนกันทำให้เราเข้ากันได้ง่าย นิสัยต่าง ๆ รวมถึง "ความเกรงใจ" ที่คนไทยถือกันอย่างมาก เขาก็มีเหมือนเรา อาหารการกินต่างกันเล็กน้อย รสชาติไปทางแขกเหมือนอาหารอินเดีย แต่เขามีธรรมเนียมที่จะหยุดทุกวันขึ้น 15 ค่ำ ไปทำบุญที่วัด

ผมได้เห็นกับตาว่าพุทธศรีลังกา กับพุทธไทยเหมือนกันอย่างนี้นี่เอง

ล่าสุดไปเยือนเวียดนาม มีปัญหาการกินน้อยที่สุด รสชาติเหมือนอาหารไทย แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกผิดที่สุดคือการมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อคนเวียดนามมานาน แต่พอไปถึงประเทศของเขา เขากลับกลายเป็นคนที่มีน้ำใจต่อเรามาก ๆ ไม่ใช่เฉพาะคนที่พาเราไป แต่รวมไปถึงทุกคนที่เราได้พบ ผมสรุปเอาเองว่าเป็นเพราะค่าของเงินที่ต่างกัน เงินของเขา 470 ดองเท่ากับเงินไทย 1 บาท ดังนั้นเมื่อเขามาอยู่เมืองไทย เขาจึงต้องประหยัดกระเหม็ดกระแหม่อย่างเต็มที่ จนเราคิดว่าเขาเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย ไม่มีน้ำใจ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดอย่างมาก

ผมมองกลับไปประเทศเวียดนาม และรู้สึกดี ๆ กับพวกเขา คนเวียดนามเป็นคนมีน้ำใสใจจริง

ผ่านมา 4 ประเทศ ผมรู้จักเอเชียมากขึ้นมากเลย

2 ความคิดเห็น:

Thep กล่าวว่า...

ดีจริง ที่นำประสบการณ์นี้มาเขียนเล่า

คนไทยเรายังเรียนรู้เกี่ยวกับเพื่อนบ้านน้อย เมื่อเทียบกับที่เพื่อนบ้านเขารู้จักเราและประเทศอื่น ๆ การได้ไปสัมผัสชีวิตในต่างแดนก็เป็นประสบการณ์ที่เป็นจริงที่สุด จริงยิ่งกว่าการพบปะกันในงานสัมมนาที่ทุกคนต้องปรับตัวให้เป็นธรรมเนียมสากล

ญี่ปุ่นเป็นประเทศหนึ่งที่ได้ไปสัมผัสแล้ว นึกถึงการ์ตูนที่เคยอ่าน หลายอย่างในการ์ตูนถูกถ่ายทอดจากสภาพบ้านเมืองจริง ได้พบความไฮเทค ความเจ้าความคิด + ขี้เล่นของคนญี่ปุ่น ความเนี้ยบในการประดับตกแต่งสิ่งต่าง ๆ ความสุภาพอ่อนน้อมแต่ขึงขังในทีของคน ระบบขนส่งมวลชนที่สมบูรณ์แบบ จนคนต่างชาติอย่างเราสามารถไปได้แทบทุกที่โดยไม่ต้องมีรถ ไม่ต้องส่งภาษากับพนักงาน (เครื่องขายตั๋วมีโหมดภาษาอังกฤษ) จะลำบากหน่อยก็ตอนสั่งอาหารน่ะแหละ

คนศรีลังกา ผมเคยแค่คุยกันในงานสัมมนา ฟังเขาคุยเรื่องพุทธเถรวาทแล้ว รู้สึกเหมือนได้เจอญาติห่าง ๆ

unticha กล่าวว่า...

ขอบคุณคะ ที่แบ่งปันประสบการณ์ให้ฟัง ปลาก็เป็นคนหนึ่งที่มีทัศนคติที่ไม่ดีกับประเทศเวียดนามได้ฟังคุณ satit แล้วคิดว่าต้องปรับใหม่ซะแล้ว ;D