วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

พันธมิตรบุกสนามบิน ตอนที่ 6

ตี 2 เศษผมออกจากอาคารผู้โดยสารมาขึ้นรถแท็กซี่ เชื่อมั้ยครับใกล้ไกลคิดราคาเดียว 500 บาทครับ

เอาล่ะคืนนี้ผมเหนื่อยมาพอแล้ว ผมจะหาโรงแรมนอนแล้ว

คืนนี้พักเรื่องพันธมิตรไว้ก่อน

เช้าวันที่ 26 ผมตื่นค่อนข้างสาย เพราะนอนดึกมาก ช่วงกลางวันผมไปเดินตามห้าง ก็ได้พบว่าไม่มีบรรยากาศของความไม่สงบเลย ทุกอย่างดูเป็นปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยกเว้นเรื่องเดียว คือไม่ค่อยเห็นคนกรุงเทพฯ ใส่เสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงแล้ว

เย็นวันที่ 26 เป็นกำหนดการที่ผมจะเดินทางกลับพิษณุโลก

ตอนที่จะเลี้ยวเข้าสนามบิน แท็กวี่เจ้ากรรมดันเลี้ยวจากโทลล์เวย์เข้าอาคารระหว่างประเทศ ก็เลยมาจ๊ะเอ๋กับพันธมิตรที่ตั้งด่านไว้รอรับที่เชิงสะพาน แต่ดีหน่อยที่เขาไม่กักรถเรา ปล่อยให้เลี้ยวออกถนนใหญ่ได้ ก่อนจะไปเลี้ยวเข้าอาคารในประเทศที่ทางเข้าถัดไป

การเช็คอินที่ดอนเมืองเป็นปกติ ไม่มีลางบอกเหตุใด ๆ ช่วงเย็นนี้ได้ยินข่าวเรื่อง พล.อ.อนุพงษ์ ผบ.ทบ. ออกมาแถลงการณ์การประชุมร่วมหลายฝ่าย ซึ่งเสนอให้นายกฯยุบสภา จัดการเลือกตั้งใหม่ แล้วก็มีข่าวว่านายกฯ บินไปลงที่เชียงใหม่แทน

มีคนปล่อยข่าวว่านายกจะบินมาประชุมที่กรุงเทพฯ หรือไม่งั้น รมต.ก็จะบินไปประชุมที่เชียงใหม่

ดอนเมืองจึงกลายเป็นเป้าหมายต่อไปของพันธมิตร ซึ่งเขาเพียงแต่เดินมาจากอาคารระหว่างประเทศไม่กี่ร้อยเมตรก็จะมาถึงแล้ว

และก็เป็นเช่นนั้น พันธมิตรเข้ายึดชั้นล่าง ผู้โดยสารขาเข้าจึงต้องเข้าที่ชั้นบน เข้ามาปะปนกับผู้โดยสารขาออกที่กำลังรอเที่ยวบินของตน สนามบินประกาศให้ทุกคนไปรวมตัวอยู่ด้านเกท 84 ซึ่งเป็นเกทที่ไกลที่สุด เผื่อว่าจะต้องอพยพคนลงไปที่จุดรวมพลข้างล่าง

คราวนี้โชคดีหน่อยที่พันธมตรทำงานมีขั้นตอนมากขึ้น เพียงไม่กี่นาทีต่อมา สนามบินก็ประกาศว่าเหตุการณ์ปกติแล้ว จะทำการบินต่อไป

หลังจากกลับมาพิษณุโลกแล้ว (ช้ากว่าปกติเกือบ 1 ชั่วโมง) ตอนเช้าจึงได้ทราบว่าพันธมิตรได้ยึดสนามบินดอนเมืองหลังจากเที่ยวบินสุดท้ายจากพิษณุโลกลงจอดที่ดอนเมือง เท่ากับว่าเป็นการปิดสนามบินโดยละมุนละม่อมกว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา

แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกับเมื่อคืนคือ พันธมิตรทำงานแบบไม่มีแผน และไม่มีการประชาสัมพันธ์ แล้วใครจะเข้าใจได้ว่าคุณทำงานด้วยความชอบธรรม หรือความชอบใจ? กองกำลังนับแสนที่ไม่มีวินัย ภายใต้การนำของแกนนำ 13 คนที่ไม่มีความเป็นหนึ่ง จะนำประเทศชาติไปสู่ทิศทางใด?

ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนมากที่ได้ยินคำพูดจากพันธมิตรว่าไม่ต้องการยุบสภา แต่ต้องการแก้ด้วยการให้นายกลาออก แล้วจับมือกันระหว่างพันธมิตรกับรัฐบาลเพื่อจัดตั้งรัฐบาลประชาภิวัตน์ โดยไม่ใช่หมายถึงพลงต.จำลองเป็นนายก หรือแกนนำเป็นรัฐมนตรี

น่าสะอิดสะเอียนมาก ต่อสู้กันมานานหลายเดือน สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการเป็นรัฐบาลโดยไม่ต้องเลือกตั้ง

นี่น่ะหรือคือกองทัพของประชาชน คือกองทัพธรรม คือกองทัพประชาภิวัตน์

หรือแค่กลุ่มอันธพาลที่อยากเป็นใหญ่ในบ้านเมือง

ผมเคยชื่นชมคุณสนธิ ลิ้มทองกุลในสมัยที่ท่านทำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เพราะรายการเต็มไปด้วยสาระเนื้อหา เบื้องลึก เบื้องหลัง และประวัติศาสตร์ คนที่ฟังแล้วจะได้รับความรู้ และตาสว่างขึ้น ได้เข้าใจมากขึ้นว่าที่รัฐบาลพูดนั้นมีความหมายโดยตรงว่าอย่างไร โดยนัยว่าอย่างไร เราได้รู้จักคำว่าประชานิยมกันมากขึ้น และรู้ว่ามันต่างกับประชาธิปไตยอย่างไร

ผ่านมา 3 ปี วันนี้พันธมิตรปราศรัย 24 ชั่วโมงเพื่อสร้างความเกลียดชังรัฐบาลให้เกิดขึ้นในใจประชาชนนับแสน โดยไม่พยายามนำเสนอการเมืองแนวใหม่ที่เขาเรียกว่าแนวประชาภิวัตน์ ซึ่งเขาเชื่อว่าดีกว่าประชาธิปไตย

ถ้าประชาภิวัตน์แปลว่าการคล้อยตามความคิดของประชาชน ใครอยากได้อะไรก็หาพวกมาเยอะ ๆ แล้วได้สิ่งนั้นไป ผมถือว่าเป็นกฎของอันธพาล ไม่ใช่ของคนที่มีวุฒิภาวะทางการเมือง ประชาภิวัตน์ที่ควรจะเป็นคือทำให้เสียงของทุกคนดังฟังชัดขึ้น แต่ต้องตั้งใจฟังเสียงของคนอื่นมากขึ้นเช่นกัน

ต่อให้มีการยุบสภาในวันพรุ่งนี้ ประเทศไทยก็ยังคงอยู่ในความมืดมนต่อไป เพราะเรายังไม่รู้จักคำว่าประธิปไตยดีพอ

ถ้าพันธมิตรได้อ่านข้อความนี้ ผมขอร้องล่ะ คุมคนของท่านให้อยู่ในระเบียบกว่านี้ ทำอะไรให้มีแผนปฏบัติการที่ชัดเจนกว่านี้ อย่าทำอะไรตามใจแบบนี้ ประเทศชาติก็เสียหาย ท่านก็ไม่ได้สิ่งที่ท่านเรียกร้อง

ผมก็ไม่ชอบระบบ "คอรัปชันถูกกฎหมาย" แต่ถ้าท่านจะล้มเขา ก็ควรจะล้มด้วย "ปฏิบัติการแห่งความชอบธรรม"

การปิดสนามบิน ผิดจากหลักอหิงสาโดยสิ้นเชิง

ไม่มีความคิดเห็น: